ชีวิตหลังเรียนจบ

เคว้ง!!

เรียกได้ว่าดูไร้จุดหมายพอสมควร  สำหรับบัณฑิตจบใหม่คนอื่นๆ ก็คงจะกำลังตื่นเต้น เตรียมตัวหางานทำ หว่าน Resume หรือสอบเข้าทำงานในที่ต่างๆ บางคนอาจมีโอกาสได้ออกไปค้นหาตัวเอง ได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ก็อาจไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคนหรอก

บทสนทนาในรถระหว่างทางกลับหอกับเพื่อน

“เรียนจบแล้ว เอาไงต่อ”

“ยังไม่รู้เลย คงอยู่บ้านก่อน แม่เพิ่งผ่าเข่า คงต้องเป็นพยาบาลก่อน”

“แล้วแม่เป็นไงบ้าง”

“ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ยังปวดแผลอยู่ คงปวดไปอีกหลายเดือน”

“ทำไมชีวิตคนเราต้องดิ้นรนด้วยก็ไม่รู้เนอะ”

“นั่นสิ ตายไปก็ว่างเปล่า”

“นี่มันถึงวัยที่เรามานั่งพูดเรื่องอะไรแบบนี้กันแล้วหรอ (หัวเราะ)”

คราวนี้ก็มาถึงช่วงเวลาที่เรียนจบจริงๆ สอบ Final เสร็่จ ย้ายของจากหอกลับบ้าน แอบใจหายเหมือนกันนะ อยู่ที่นี่มา 4 ปี นอนคนเดียวมา 4 ปี แรกๆ ที่กลับบ้านไป ใช้ชีวิต วน Loop มาก อยู่แค่บ้าน โรงพยาบาล และโลตัส วันไหนได้ออกไปโลตัสก็จะดีใจหน่อย อย่างน้อยก็ได้ไปเดินเล่น ชีวิต ณ ตอนนั้นเครียดมากสำหรับเด็กจบใหม่ เหมือนทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิต

เมื่อเรื่องที่บ้านผ่านพ้นไป สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น น่าจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 เริ่มต้นหางานทำจากการสอบบรรณารักษ์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ จากนั้นก็สอบเรื่อยมา ส่วนใหญ่ก็จะผ่านข้อเขียน เข้าไปสัมภาษณ์ แต่ก็ตกสัมภาษณ์ตลอด หลายๆ ครั้งเข้าก็เริ่มรู้สึกท้อแท้ เพื่อนส่วนใหญ่ก็ทยอยมีงานทำกันหมด สุดท้ายเป็นเราเองที่เริ่มกดดันตัวเอง เครียด เบื่อหน่ายชีวิต กระทบการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ เบื่ออาหาร ไม่อยากทำอะไรเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เริ่มเช็คตัวเองจากแบบประเมินโรคซึมเศร้า (สำหรับใครที่เครียดมาก ๆ สามารถเข้าไปทำแบบประเมินเบื้องต้นได้ที่ ประชาสัมพันธ์สุขภาพจิต นะคะ)

พอเวลาผ่านไปนานเข้า ก็เลยตัดสินใจสมัครบริษัทเอกชนที่กรุงเทพฯ ทางบริษัทโทรมานัดให้ไปสัมภาษณ์ ตอนนั้นกลัวจะไม่ได้งานมากๆ ยอมรับเงินเดือน 15,000 แต่ค่าครองชีพ 50,000 (อันนี้หยอกเล่นนะคะ 55555) สุดท้ายอีกแค่ไม่กี่วันทางบริษัทก็โทรมาแจ้งว่ารับเข้าทำงาน ดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อกับแม่  ทางบริษัทให้เริ่มงานเร็วพอสมควร ต้องรีบหาหอพัก และเตรียมย้ายของ ทุกอย่างดูรวดเร็ว และกระชั้นชิดไปหมด

ก่อนถึงวันที่ต้องย้ายของไปจริงๆ ประมาณ 2-3 วัน จู่ๆ ก็รู้สึกอยากกอดพ่อกับแม่มาก จากที่เป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่ ไปกรุงเทพฯ ก็บ่อย อยู่หอคนเดียวได้ ไม่มีปัญหา แต่กลับรู้สึกกังวล รู้สึกว่าระยะทางกรุงเทพฯ-ราชบุรี ไกลมากๆไปเลย แต่ก็ไม่ได้บอกใคร วันที่ย้ายของนั่งน้ำตาไหลเงียบๆ จนหลับไปบนรถ พอย้ายของเสร็จก่อนที่พ่อและพี่จะกลับ รับรู้ได้เลยว่าทุกคนเป็นห่วงเรามาก ถามทุกอย่าง ให้ระมัดระวังตัวเองให้ดี ทำงานได้สักพักก็ถือว่าเป็นโชคดีที่มาสอบติดได้เป็นบรรณารักษ์ที่นี่

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากให้ใครหลายๆ คนที่กำลังมีลูก มีหลาน ที่กำลังอยู่ในวัยนี้ พยายามอย่าไปกดดันเขาเลยค่ะ เพราะเขาเองก็คงกดดันตัวเองอยู่แล้ว กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญต่อจิตใจพวกเขามากๆนะคะ ให้กำลังใจกันไว้ ดีกว่าบั่นทอนจิตใจกัน

สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

จริณ