วันนี้ เป็นวันอัฏฐมีบูชา ทุกวัดจะมีกิจกรรม ทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ น้อมระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ที่วัดมะขาม ต.บ้านกลาง จ.ปทุมธานี ท่านเจ้าอาวาสจะทำป้ายไวนิลติดไว้ที่ศาลาทำบุญตักบาตรให้เห็นเด่นชัด เมื่อวันวิสาขบูชา ตรงกับวันพุธ ที่ 22 พฤษกาคม 2567 นับไปอีก 7 วัน จะเป็นวันอัฏฐมีบูชา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน 7 วัน เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันนึงเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 30 พฤษาภาคม 2567 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่ชาวพุทธวิปโยคและสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์สมเด็จพระศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพ และมีพระคุณอันประเสริฐ เป็นวันควรแสดงธรรมสังเวช และระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล นอกจากนี้ วันนี้เป็นวันที่พระนางสิริมหามายาองค์พุทธมารดาสิ้นพระชนม์ (หลังประสูติ) และเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุติสุขตลอด 7 วัน (หลังตรัสรู้)
เหตุการณ์ในพิธีถวายพระเพลิง
พระเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิด ตลอด 7 วัน และให้เจ้ามัลลกษัตริย์ และระดับหัวหน้า 8 คน สระสรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออก ของพระนครเพื่อถวายพระเพลิง
พระเจ้ามัลลกษัตริย์ถามถึงวิธีปฏิบัติพระสรีระกับอานนท์เถระแล้วทำตามคำของพระอานนท์เถระนั้น คือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นี้จนหมดผ้า 500 คู่ แล้วอัญเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตากาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนั้นอัญเชิญ พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า 4 คน สระสรงเกล้า และนุ่งห่มผ้าใหม่ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ พระอนุรุทธะ พระเถระ แจ้งว่า “เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุ 500 รูป ผู้กำกลังเดินทางมาเพื่อถวายสักการะ บังคมพระบาทเสียก่อน ก็เทวดาเหล่านั้นเคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสะปะอยู่ในพิธี และเมื่อภิกษุ 500 รูป ซึ่งมีพระมหากัสสปะเป็นประธานเดินทางมาพร้อมกัน ณ ที่ถวายพระเพลิงแล้วไฟจึงลุกโชนเองไโดยไม่ต้องมีใครจุด
หลังจากที่พระเพลิงเผาไหม้พระพุทธสรีระมอดลงแล้ว กษัตริย์มัลละได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุใส่ลงในหีบทองแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา ส่วนเครื่องบริขารต่างๆ ได้แก่ ผ้าไตรจีวร อัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระ บาตรอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาตลีบุตร เป็นต้น และเมื่อกษัตริย์จากแค้วนต่างๆ ได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนับกลับมาสักการะยังแคว้นของตน แต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละ ปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน แย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ เหตุการณ์วุ่นวาย แต่ในที่สุดเหตุการณ์ก็สงบลงได้ เนื่องจากมีโทณพราหม์ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยเสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ออกเป็น 8 ส่วน ดังนี้
1.กษัตริย์ลิจฉวี ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวสาลี
2.กษัตริย์ศากยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกบิลพัสดุ์
3.กษัตริย์ถูลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองอัลลกัปปะ
4.กษัตริย์โกลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองรามคาม
5.มหาพรามห์ สร้างเจดีย์บรรุไว้ที่เมืองเวฏฐทีปกะ
6.กษัตริย์มับบะแห่งเมืองปาวา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองปาวา
7.พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองราชคฤห์
8.มัลลกษัตริย์แห่งกุสินารา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกุสินารา
9.กษัตริย์เมืองโมริยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุพระอังคาร (อังคารสถูป) ที่เมืองปิปผลิวัน
10.โทณพราหมณ์ สร้างสถูปบรรจุทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุ ที่เมืองกุสินารา
สำหรับกรณีของกษัตริย์เมืองโมริยะนั้น ได้ส่งผู้แทนมาหลังจากที่โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทั้ง 8 เมืองไปแล้วจึงได้อัญเชิญพระอังคารไปแทน ส่วนโทนพราหมณ์ได้สร้างสถูปบรรจุทะนานที่ใช้สำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุสำหรับตนเอง และผู้คนที่ได้สักการะ
ข้อคิดที่ได้
คนเราทุกคนต้องตายแน่ๆ สักวันหนึ่ง เราต้องตาย ฉะนั้นเพื่อประโยชน์ในเบื้องหน้า และปัจจุบัน เราจึงขวนขวายทำบุญกริยา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ขออัญเชิญ พระธรรมคำสอนพุทธานุศาสนีที่ว่า “อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโป ติ วิปุลํ สุขํ” แปลความว่า “ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์”
สาธุ สาธุ สาธุ