ไปอนุสาวรีย์ชัยฯกันไหม?
วันนี้จะพาท่านไปอนุสาวรีย์ชัยฯโดยไม่ต้องโดยสารพาหนะใดๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าโดยสารแล้วก็ไม่ต้องออกแรงเดินฝ่าลมหนาววววไปให้ทรมานกายนะคะ แต่เราจะพาท่านไปสถานที่แห่งนี้ด้วยสายตาค่ะ(คุ้มจัดประหยัดสุด) ปัจจุบันผู้คนทั่วไปรู้จัก“อนุสาวรีย์ชัยฯ”(ซึ่งเป็นคำเรียกแบบไม่เป็นทางการหรือภาษาปาก)กันดี สำหรับคนที่ต้องอาศัยการเดินทางเข้า กทม. เพื่อจะต่อรถไปยังจุดหมายปลายทางในที่ต่างๆ เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของรถโดยสารนานาชนิดโดยเฉพาะรถตู้โดยสารยอดนิยมในยุคนี้ ที่นี่มีมากมายประหนึ่งว่าเป็นชุมทางของสถานีขนส่งย่อยๆที่สำคัญแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานีขนส่งสายเหนือ,สายใต้และสายตะวันออกเลยเชียว เอาละเรามาถึงอนุสาวรีย์ชัยฯแล้ว แต่ไม่ต้องไปต่อรถสายใดทั้งนั้นนะคะเราจะมาทำความรู้จักสถานที่แห่งนี้ในอีกมิติหนึ่งกันดีกว่า
อันว่า “อนุสาวรีย์” นั้นหมายถึงสิ่งก่อสร้างในลักษณะประติมากรรมเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ หรือบุคคลสำคัญที่สร้างคุณงามความดีต่อชาติบ้านเมืองเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง อนุสาวรีย์ทุกแห่งล้วนมีความหมายและความทรงจำที่แฝงอยู่ในแง่สัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในประเทศไทยเรามีอนุสาวรีย์มากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศทุกภูมิภาค วันนี้เรามาย้อนรำลึกถึงประวัติของการสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” กันนะคะ ทราบไหมคะว่าในวันนี้ “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” แห่งนี้ มีอายุถึง 73 ปีแล้ว อนุสาวรีย์แห่งนี้จัดอยู่ในประเภท “อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ” สร้างขึ้นมาเพื่อน้อมรำลึกถึงวีรกรรมของ พลเรือน ตำรวจ ทหารที่ได้ร่วมกันพลีชีพเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในการปกป้องอธิปไตยของชาติด้วยความกล้าหาญ ต้นกำเนิดของการสร้างอนุสาวรีย์นี้เกิดจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส ในยุคของการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งอยู่ในสมัยของรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม(จอมพลป. นั่นแหละค่ะ)เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์สู้รบเพื่อปกป้องดินแดนในหลายสถานที่ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ หลังจากเหตุการณ์สงบแล้วทางนายกรัฐมนตรีจึงมีดำริการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเชิดชูเกียรติและวีรกรรมแก่ผู้ที่พลีชีพเพื่อชาติขึ้น โดยกำหนดสถานที่การก่อสร้างบริเวณถนนประชาธิปัตย์ (ถนนพหลโยธินในปัจจุบัน)ซึ่งเป็นตอนต้นของถนนพญาไทบรรจบกับถนนราชวิถี และได้เวนคืนที่ดินในบริเวณนั้น จากนั้นจึงให้สถาปนิกออกแบบ ผู้ที่ออกแบบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็คือ หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล โดยท่านออกแบบให้ตรงกลางของอนุสาวรีย์เป็นรูปดาบปลายปืนซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของทหารจำนวน 5 เล่มประกอบรวมกันเป็นห้าแฉกปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า ความสูงจากฐานถึงปลายดาบประมาณ 50 เมตร เฉพาะความสูงของดาบปลายปืนนั้น 30 เมตร องค์ประกอบโดยรอบของฐานจะเป็นรูปปั้นของนักรบทั้งห้าเหล่าคือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ซึ่งจะมีขนาดสูงกว่าคนจริงสองเท่า แท่นฐานของอนุสาวรีย์เป็นรูปวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 51 เมตร พื้นลานรอบอนุสาวรีย์กว้าง 131 เมตรยาว 260 เมตร มีบันใดขึ้นสู่อนุสาวรีย์ทุกด้าน มีแผ่นจารึกรายชื่อของผู้เสียชีวิตหล่อด้วยทองแดงอยู่ทุกด้านของฐาน ส่วนด้านในอนุสาวรีย์ทำเป็นห้องโถงใหญ่ใช้เก็บกระสุนปืนใหญ่และบรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตในสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส
สำหรับพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้นมีขึ้นในวันชาติ(สมัยนั้น)คือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 โดยพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ ในแผ่นศิลาฤกษ์ได้จารึกคำปรารภไว้ว่า “ขอให้อนุสารีย์ชัยสมรภูมิเป็นถาวรวัตถุที่ระลึกถึงเกียรติของผู้เสียสละแล้วซึ่งชีวิตเพื่อประเทศชาติสืบไป” ในส่วนของการดำเนินการการก่อสร้างนั้นใช้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศิลปากร กองการโยธา เทศบาลนครกรุงเทพฯ บริษัทวิศวกรรมไทย จำกัด ในการก่อสร้างใช้คนไทยและวัตถุที่มีในประเทศไทยทั้งสิ้น รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างอนุสาวรีย์เป็นเงินทั้งสิ้น 550,000 บาท เฉพาะในส่วนของงานปั้นและหล่อของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้นกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการ โดยผู้ออกแบบรูปปั้นและควบคุมการทำงานนี้คือ ท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี พร้อมทั้งลูกศิษย์ของท่านมาช่วยดำเนินการด้วยเช่น พิมาน มูลประมุข, สิทธิเดช แสงหิรัญ, อนุจิตร แสงเดือน แช่ม ขาวมีชื่อ เป็นต้น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างเสร็จและมีพิธีเปิดในวันชาติเช่นกัน คือในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485 (1 ปีพอดีนับแต่วางศิลาฤกษ์) ผู้ทำพิธีเปิดคือ จอมพลป. พิบูลสงคราม สำหรับรายชื่อของผู้เสียชีวิตที่จารึกลงบนแผ่นทองแดงนั้นแรกเป็นรายชื่อจากสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส จำนวน 171 นาย ต่อมาเพิ่มรายชื่อจากสงครามมหาเอเชียบูรพา 103 นาย สงครามเกาหลี 118 นาย และไม่ทราบสงครามอีก 415 นาย รวมทั้งสิ้น 807 นาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้รับการดูแลและซ่อมแซมมาหลายครั้งนับแต่สร้างมาแต่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ทุกประการไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งอยู่กลางสี่แยกถนนพญาไท ถนนราชวิถี และต้นทางหลวงถนนพหลโยธิน เป็นวงเวียนโดยรอบอนุสาวรีย์จึงเป็นจุดศูนย์รวมในการเดินทางทั้งรถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า (ยกเว้นรถไฟปู้นปู้น) ไม่มีใครไม่รู้จักอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแห่งนี้ เป็นทั้งศูนย์รวมของคนตจว. และคนกทม. เป็นจุดนัดพบทั้งจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง และเป็นจุดของประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของชาวไทย ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลโดยสรุปย่อค่ะ หากต้องการรายละเอียดฉบับเต็มโปรดหาอ่านได้จากหนังสือ “73 ปี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เลขหมู่หนังสือ NA9355B3อ22 ที่หอสมุดเรามีบริการค่ะ