นักเขียนนิยายปลอมพงศาวดาร
“นวนิยาย”หรือ“นิยาย” นั้นเป็นหนังสือสำหรับอ่านเพื่อความบันเทิงเริงใจ คลายความเครียดได้ดีชนิดหนึ่ง ในห้องสมุดแทบทุกแห่งจะขาดหนังสือประเภทนี้มิได้เลยต้องจัดหามาไว้ให้บริการแก่ผู้ใช้ได้หยิบยืมอ่าน นวนิยายเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่งหรือผู้ประพันธ์ด้วยกลวีธีลีลาและสำนวนของแต่ละคน มีหลากหลายแนวให้ได้เลือกอ่าน บางเรื่องก็ได้เค้าโครงมาจากเรื่องจริง จึงมีคำที่ว่าเรื่องจริงอิงนิยายเกิดขึ้น บางเรื่องก็อิงประวัติศาสตร์หรืออิงพงศาวดาร ในครั้งนี้ดิฉันขอนำเสนอเรื่องของการเขียนนวนิยายที่อิงพงศาวดารกับนักประพันธ์นามอุโฆษในแวดวงวรรณกรรมไทยของเราท่านหนึ่ง ทั้งนามปากกาและชื่อนวนิยายที่ท่านประพันธ์รังสรรค์สร้างขึ้นมาในบรรณพิภพนั้นยังเป็นอมตะอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ว่าตัวท่านจะจากโลกนี้ไปนานแล้วก็ตาม นักประพันธ์ท่านนั้นคือ “ยาขอบ” หรือนามจริงว่า โชติ แพร่พันธุ์ และนวนิยายที่เป็นผลงานอมตะตลอดกาลและถือเป็นผลงานชิ้นเอกของท่านคือเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” ซึ่งมีตัวเอกของเรื่องเป็นทั้งนักรบและนักรักหนุ่มนามว่า “จะเด็ด” ที่สามารถเด็ดดอกฟ้ามาครอบครองได้ทั้งตะละแม่จันทราราชธิดาของเมืองตองอู และตะละแม่กุสุมาพระธิดาแห่งเมืองแปร จนเกิดวาทะเด็ดของเรื่องที่ผู้อ่านจดจำได้ไม่รู้ลืมว่า “ข้าพเจ้ารักจันทราด้วยใจภักดิ์ แต่รักกุสุมาด้วยใจปอง” เป็นไงคะคารมคมคำที่พริ้วไหวขนาดนี้ของท่าน“ยาขอบ”ผู้ประพันธ์ออกมาบรรณาการแก่ผู้อ่านให้ติดตรึงใจจนบัดนี้ แล้วผู้ที่เป็นดั่ง“ผู้ชนะสิบทิศ”ตัวจริงในเรื่องราวนี้นั่นก็คือ พระเจ้าบุเรงนองแห่งกรุงหงสาวดี ของพม่า
“ยาขอบ” หรือ โชติ แพร่พันธุ์ เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2450 และเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2499 ชีวิตในวัยเด็กของท่านนั้นต้องระหกระเหิน ลุ่มๆดอนๆมาโดยตลอดแม้กระทั่งเข้าสู่วัยทำงานก็ตาม ผ่านการประกอบอาชีพมาหลากหลายกว่าจะได้มาเป็นนักเขียนชื่อกระฉ่อน ท่านเป็นนักเขียนร่วมรุ่นกับ “ศรีบูรพา”หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ และมาลัย ชูพินิจ หรือ”เรียมเอง” แล้วนามปากกา “ยาขอบ” นี้ผู้ที่ตั้งให้ก็คือ กุหลาบ สายประดิษฐ์(ศรีบูรพา) เจ้าของหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ ที่รับ”ยาขอบ”ไปร่วมงานด้วย เพราะคราวหนึ่งยาขอบต้องเขียนเรื่องตลกแทน “ฮิวเมอริสต์” นักเขียนเรื่องตลกประจำหนังสือพิมพ์นี้ที่มิได้ส่งต้นฉบับมาให้ ด้วยความที่เห็นว่ายาขอบเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ “ยาขอบ” นั้นเป็นนามปากกาที่เลียนแบบมาจากนักเขียนเรื่องตลกชาวอังกฤษที่ชื่อว่า เจ.ดับบลิว.ยาค็อบ ผลงานแรกที่ใช้นามปากกา “ยาขอบ” เขียนคือเรื่อง “จดหมายเจ้าแก้ว” ต่อจากนั้นจึงเริ่มเขียน อมตะนิยายที่เป็นการปลอมพงศาวดารในเรื่อง “ยอดขุนพล” โดยได้แรงบันดาลใจจากการอ่านพงศาวดารของพม่าเพียง 8 บรรทัดนำมาเป็นเค้าโครงเรื่อง ต่อมาภายหลัง มาลัย ชูพินิจ ได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น “ผู้ชนะสิบทิศ” อมตะนิยายปลอมพงศาวดารเรืองนี้เริ่มเขียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 และเขียนมาจนถึงปีพ.ศ. 2476 จึงยุติการเขียนไว้ชั่วคราวเพื่อหาข้อมูลบางประการ แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เขียนต่ออีกเลย
ดังนั้นนวนิยายเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” จึงยังไม่จบบริบูรณ์ เนื่องจากผู้ประพันธ์คือ “ยาขอบ” เสียชีวิตไปเสียก่อน ถึงแม้ว่าอมตะนิยายเรื่องนี้จะไม่จบสมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานมิเสื่อมคลาย ถูกจัดพิมพ์ ถูกนำไปทำทั้งละครวิทยุและละครโทรทัศน์ ลิเก สร้างเป็นภาพยนตร์ ดัดแปลงเป็นละครเวทีมาแล้วหลายครั้งหลายครา แล้วยังดัดแปลงเป็นละครพันทางโดยกรมศิลปากรในยุคของอาจารย์เสรี หวังในธรรม แสดงที่โรงละครแห่งชาติต่อเนื่องกันนานหลายปีซึ่งได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชมอย่างมากมายเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้มีการทำบทเพลงประกอบละครและภาพยนตร์ในเรื่อง“ผู้ชนะสิบทิศ” ไว้อีกนับสิบเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งติดตรึงใจของผู้ฟังมาตราบจนทุกวันนี้อีกด้วย เป็นบทเพลงที่เรารู้จักและรับฟังกันอย่างคุ้นเคยหู เช่น เพลงผู้ชนะสิบทิศ บุเรงนองลั่นกลองรบ ยอดพธูเมืองแปร กุสุมาอธิษฐาน กันทิมาอาภัพ นันทวดีพลาดรัก เนงบาผู้ปราชัย เป็นต้น (นักฟังเพลงรุ่นป้าๆ ต้องเคยฟังกันแน่นอน!!)ลองไปหาฟังในยูทูบเหอะมีให้ฟังแน่ๆ
คราวนี้จะขอเล่าถึงเกร็ดชีวิตของ “ยาขอบ” ในบางเรื่องสักเล็กน้อย ความจริง “ยาขอบ” มีเชื้อสายของเจ้าเมืองแพร่สกุลเทพวงศ์ รุ่นสุดท้าย เคยอาศัยอยู่ในรั้วในวังที่กรุงเทพฯมาหลายที่ เคยเรียนที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ แต่ต้องออกจากโรงเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ปี 2465) เพราะมีเรื่องบาดหมางกับครู ถนิม เลาหะวิไล ในวันหนึ่งครูได้ตั้งคำถามแก่นักเรียนว่า “ธรรมะคืออะไร” นักเรียนร่วมชั้นคนอื่นๆก็ตอบกันตามที่เข้าใจ แต่“ยาขอบ”กลับตอบไปว่า “ธรรมะคือคุณากร …!!” จึงถูกครูดุว่าแต่”ยาขอบ”ก็โต้เถียงกับครูแถมเอาหมวกครูมากระทืบอีกด้วย จึงต้องออกจากการเรียนด้วยประการฉะนี้.. แต่ภายหลังเขาก็ได้ครูคนนี้เป็นผู้ฝากเข้าทำงานในแวดวงหนังสือพิมพ์ ส่วนในด้านงานประพันธ์ของเขานั้นเขาจะพิถีพิถันละเอียดละออในข้อมูลที่นำมาเขียนไม่ว่าเรื่องใด จะไม่เขียนออกมาแบบสุกเอาเผากินเป็นอันขาด แล้วก็จะใช้กระดาษสีชมพูเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินเสมอเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว มุมกระดาษทุกแผ่นต้องมีชื่อ“ยาขอบ”กำกับไว้ “ยาขอบ” เป็นคนเจ้าชู้มีภรรยาหลายคนและภรรยาคนแรกของเขาชื่อ “จรัส “ เป็นน้องสาวเจ้าของห้างขายยาเพ็ญภาค ที่เขาเคยไปทำงานอยู่ด้วยระยะหนึ่ง เขามีบุตรชายกับภรรยาคนแรกนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น คือ “มานะ แพร่พันธุ์” อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บ้านเมือง “ยาขอบ” เป็นคนที่ชอบดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด ทำให้ร่างกายเขาทรุดโทรมเร็วและถึงแก่กรรมด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังด้วยวัยเพียง 48 ปีเศษเท่านั้น
นี่คือเรื่องราวโดยสังเขปของนักประพันธ์นามกระเดื่องกับนิยายปลอมพงศาวดารอันลือเลื่อง ที่จัดเป็นอมตะนิยายของไทยเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์อิงพงศาวดารของพม่าที่ผู้ประพันธ์ใช้จินตนาการสร้างสรรค์ตัวละครและชั้นเชิงการดำเนินเรื่องได้อย่างมีอรรถรสน่าติดตามอย่างมิรู้เบื่อ “ผู้ชนะสิบทิศ” ถูกพิมพ์รวมเล่มออกมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2482 และยังมีการจัดพิมพ์ออกมาจำหน่ายอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ที่หอสมุดของเรามีฉบับปีพิมพ์ล่าสุดคือปี 2551 รวมสองเล่มจบซึ่งมีความหนาพอสมควรทีเดียว (ในการพิมพ์ครั้งแรกๆแบ่งเป็น 8 เล่มจบ) นอกจากเรื่องผู้ชนะสิบทิศแล้ว ยังมีผลงานอื่นๆอีกหลายเรื่อง เช่น สามก๊กฉบับวณิพก มหาภาระตะ บุปผาในกุณฑีทอง สินในหมึก เป็นต้น หาอ่านได้จากห้องสมุดค่ะ
ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือเรื่อง อ่านแล้ว อ่านเล่า ของ ศรีดาวเรือง, และจาก www. debsirin.ac.th