ชวนอ่านหนังสือ : Salmon สอนคน

22 September 2014
Posted by patcharee

หยิบหนังสือเล่มนี้มาจากชั้นตอนไปหาหนังสือให้ผู้ใช้บริการ จนผู้ใช้บริการบอกว่า “เจอแล้วเหรอพี่” ตอบน้องไปว่า “เปล่า..เล่มนี้พี่อ่านเอง ” แล้วถึงไปเจอเล่มที่ผู้ใช้บริการต้องการที่อยู่ผิดที่ผิดทางนิดหน่อย…
Salmon
Salmon สอนคน”  เป็นผลงานแปลของ ชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล แปลจาก “Salmon” ของนักเขียนชาวเกาหลี ชื่อ อัน โดฮยอน (Ahn Do-hyeon)     เรื่องย่อ ของ Salmon สอนคน ว่ากันไปตามตัวอักษรภาษาไทยแล้ว ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงแค่การเล่าการเดินทาง (วัฏจักรชีวิต) ของฝูงปลาแซลมอน จากทะเลแบริง กลับไปสู่แม่น้ำ ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ผ่านด่านนกอินทรีทะเล คนจับปลา และหมี จนถึงต้นน้ำที่สงบ วางไข่ แล้วปลาทุกตัวก็จะตาย แต่ภาษาไม่ได้มีความหมายแค่เพียงตัวอักษร คำศัพท์หรือประโยคแต่ละประโยค แต่มันลึกซึ้ง ยอกย้อน เสียดสี ตัดพ้อ จนเราได้อะไรมากกว่าความหมายตามตัวอักษร ดิฉันคิดว่า ที่จริงแล้ว หนังสือน่าจะได้ชื่อเดิม คือ “Salmon” เพราะ ชื่อใหม่เป็นเหมือนคำเฉลยของอัน โดฮยอนว่าเขามีเจตนาบอกกับมวลมนุษย์ถึงสิ่งที่มนุษย์คิดและทำโดยมองแต่ในมุมของตนเอง (มนุษย์ไม่เคยคิดมองดูมันจากด้านข้าง แต่มักจะมองดูพวกมันจากมุมสูงมากกว่า…ดวงตาของมนุษย์ที่มองลงมานั้น ไม่ต่างกับดวงตาของนกอินทรีทะเล หรือหมีเลย…หน้า 11-12) ดิฉันชอบที่จะให้ชื่อหนังสือเป็นคำกลาง ๆ แล้วปล่อยให้ผู้อ่านที่มีเบื้องหลังหลากหลายคิดกันไป มันน่าจะสนุกกว่า (เหมือนกับถ้าจะอ่านหนังสือของอากาธา คริสตี้ แล้วไปอ่านเฉลยตอนจบ ก็หมดสนุก..หรือถ้าเป็นสมัยใหม่ ก็อ่านโคนัน ก็ได้)
ตกลงว่า ดิฉันจะไม่สรุปเนื้อเรื่องล่ะ แต่จะมอง อัน โดฮยอน จากด้านข้างอยู่เงียบ ๆ และพรางตัว (ไม่ให้เสียงดัง และไม่เห็นตัว เพราะไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่า!! เอาเป็นว่า ดิฉันคิดเอาเองแบบนี้นะ) มาสรุปว่า ฝูงแซลมอนสอนอะไรมนุษย์
1. รู้จักตนเองจากสายตาของผู้อื่น
(หน้า 21) …พี่สาวเล่าให้สีเงินฟังว่า แซลมอนจะรู้ได้ว่าตัวเองหน้าตาเป็นเช่นไร ก็จากปากของแซลมอนตัวอื่น แปลว่า ปากของแซลมอนตัวอื่นคือกระจกส่งเงาของบรรดาพวกพ้องนั่นเอง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ แซลมอนจึงมีนิสัยชอบนินทาลับหลังอยู่เป็นนิจ..
2.รู้จักลดความอยากรู้อยากเห็นลง
(หน้า 20) สีเงินถามพี่สาวว่า แล้วทำไมปลาลิ้นหมาถึงมีตาทั้งคู่อยู่ข้างเดียวกันล่ะ พี่สาวตอบว่า “ก็เพราะว่าอยากมองเห็นตัวเองมากไป ออกแรงมากไป จนตามากองรวมกันอยู่ลำตัวซีกซ้ายไง”
3.ควรมองที่จิตใจมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
(หน้า 22-23) วันหนึ่งสีเงินพูดกับเพื่อนว่า “ฉันหวังว่าพวกเธอจะไม่สนใจแต่สีผิวของฉัน ควรหันมามองที่จิตใจกันบ้าง” …”ก็แบบว่า ภาวะจิตใจ..มองไม่เห็น..แบบว่าไงล่ะ…”แต่พวกเพื่อน ๆ กลับบอกว่า “่คำพูดของเธอฟังยากจัง พวกเราฟังไม่เข้าใจ”
4.ต้องอดทนถึงจะประสบความสำเร็จ
(หน้า 25) พี่สาวสีเงินพูดว่า “ก็เพื่อตัวเจ้าเองนั่นแหละ เจ้าต้องรู้จักอดทน เพื่ออีกหน่อยจะได้เป็นแซลมอนผู้ยิ่งใหญ่”
5.ความรักหล่อเลี้ยงชีวิต
(หน้า 41) ความปรารถนาที่จะพบหน้าแซลมอนตาประกายนี้อาจเรียกได้ว่าคิดถึงคะนึงหา แต่มากกว่าคิดถึงคะนึงหาอยู่หลายเท่า หากจะว่าเป็นการรอคอย ก็ยาวนานกว่าการรอคอยเสียมากมาย แม้ใครจะว่าการมีชีวิตอยู่น่าเอือมระอานัก แต่หากเทียบกับการที่ต้องทนอยู่พร้อมความคิดถึงนี้ ไม่อะไรในชีวิตที่หนักหนา ก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
(หน้า 51) “แซลมอนที่มองเห็นทุกสิ่งได้งดงามที่สุดเท่านั้น จึงจะเป็นแซลมอนที่มีความรัก” คำพูดนี้ของตาประกาย กลายเป็นพลังที่ไม่อาจอธิบายได้
6.การมองโลกในแง่บวก
(หน้า 47) “คงเป็นเพราะเธอมองฉันด้วยสายตาที่เปี่ยมจิตวิญญาณน่ะสินะ หากเรามองอะไร ๆ ได้แบบนั้น ทุกอย่างในโลกนี้จะดูสวยงามมากขึ้นเลยนะ”
7.การไขว่คว้า วิ่งตามสิ่งที่มองดูว่าสวยงามชั่วครู่ยาม ไม่สามารถนำความสุขมาให้ได้ แต่ให้หาความสุขที่มีอยู่ใกล้ตัว
ในบทที่ 14  (หน้า 89-94 )  สีเงินเล่าเรื่องการเห็นสายรุ้งให้ตาประกายฟัง ซึ่งสีเงินเห็นว่าเป็นสิ่งสวยงามมาก แต่ตาประกายกลับบอกว่า “สายรุ้งเป็นสิ่งที่เลือนหายได้ชั่่วครู่เดียว” และเล่าว่า เคยมีแซลมอนตัวหนึ่งตามจับสายรุ้งแต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะทุกครั้งที่เกีือบคว้าได้ สายรุ้งก็เลือนหายไป เป็นไปตามธรรมชาติ จนวันหนึ่งแซลมอนตัวนั้นไปเห็นสายรุ้งที่เกิดจากการสะท้อนแสงของปืน จึงรีบกระโจนเข้าใส่ จึงโดนมนุษย์ยิงตาย และบอกกับสีเงินว่า ” ส่ิ่งสวยงามที่แท้จริงไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย มันยิ่งใหญ่ในความรู้สึก และไม่เคยเลือนหายไป”
8.ความหมายของชีวิตคือการมีตัวตนอยู่ และเป็นเบื้องหลังให้ผู้อื่นได้
(หน้า 74-77) สีเงินกำลังซึมเศร้ากับการมีชีวิตอยู่ แม่น้ำโอบกอดมันด้วยความเข้าใจ บอกสีเงินว่า ความหมายของชีวิตของแม่น้ำคือได้มีตัวตนอยู่อย่างทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว สีเงินย้อนถามแม่น้ำว่า ความหมายของชีวิตคือการมีตัวตนอยู่แค่นั้นเองเหรอ แม่น้ำจึงตอบว่า “ถูกต้อง การมีตัวตนนั้นหมายความว่า เราได้อยู่เป็นเบื้องหลังเพื่อโอบอุ้มชีวิตอื่นที่นอกเหนือไปจากตัวเราเอง”…”ที่ดวงดาวส่องแสงได้ ก็เพราะมีท้องฟ้าที่มืดมิดเป็นฉากหลังให้ดวงดาวฉาย”…”และที่ฝูงแซลมอนสวยงามก็เพราะว่ามีแซลมอนด้วยกันเกาะกลุ่มเป็นฉากหลัง” แม่น้ำบอกสีเงินว่า ทำไมสีเงินถึงไม่เหมาะที่จะป็นเบื้องหลังให้คนอื่น “เพราะเจ้าคิดมากไปหน่อย อันที่จริงการเป็นเบื้องหลังให้ผู้อื่น ไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรอก เราทุกขีวิตต่างก็เป็นเบื้องหลังให้กันและกันได้”
9.การมองข้ามปมด้อยของผู้อื่น
(หน้า 84-87) แซลมอนสีเงินพบแซลมอนหลังเบี้ยว และสงสัยว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น จึงถามเมื่อเขาไม่ตอบก็โมโหจนมารู้ต่อมาว่า เขาเป็นใบ้ด้วย สีเงินรู้สึกเสียใจจึงคุยกับ หลังเบี้ยวด้วยจิตวิญญาณ และขอโทษ สีเงินรู้สึกตัวว่า การใส่ใจรูปร่างที่ผิดปกติของพวกพ้องมากไปนั้นเป็นการทำให้ผู้อื่นอับอาย และเป็นมารยาทที่ไม่ดี คล้าย ๆ ดูถูกด้วย
ยังมีการสอนในแง่ของสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น  (หน้า 50) ทุกส่ิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แซลมอนสีเงินรู้สึกว่ามีค่ามากกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ หนึ่งก้อน สาหร่ายที่ลอยเติ่งข้ามไป หรือวันเวลาที่ไหลไปไม่หวนกลับ สิ่งใดที่เคยเห็นว่าไม่สำคัญแม้แต่น้อย กลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่า สรรพสิ่งที่อยู่ในโลกนี้  ไม่มีอะไรที่ไม่สำคัญ ฉะนัั้นจึงไม่มีสิ่งของใดแม้เพียงชิ้นเดียวที่ควรถูกทิ้งขว้างหรือละเลย  (หน้า 80) มนุษย์แบ่งออกเป็นสองประเภท พวกหนึ่งคือพวกที่ถือเบ็ดตกปลา อีกพวกหนึ่งคือพวกที่ถือกล้องถ่ายรูป …เราน่ะเชื่อใจในพวกที่ถือกล้องถ่ายรูปมากกว่า เพราะมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ตลอดการเดินทางของฝูงแซลมอน ผ่านอุปสรรคมากมาย จนมาถึงอุปสรรคสุดท้ายที่ดูยิ่งใหญ่เสียจน ขนาด กรามโต หัวหน้าผู้เก่งกาจยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คือ การกระโดดผ่านน้ำตกใหญ่ขึ้นไปให้ได้ แม้จะมี แซลมอนนักวิทยาศาสตร์ ไปสำรวจจนพบอุโมงค์ที่มนุษย์ทำเอาไว้ให้แซลมอนผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่สีเงินผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากแม่น้ำ ที่เล่าเรื่องของพ่อของสีเงินให้ฟังว่าพ่อของสีเงินเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เพียงใด  สีเงินจึงเลือกเอาทางที่ยากเพื่อดำรงรักษาวิถึของแซลมอน เพื่อให้ DNA ของความกล้าหาญ และเพื่อให้ลูก ๆ ที่เป็นไข่อยู่ในท้องได้ซึมซับวิถีนี้ไปตราบนานเท่านาน ฝูงแซลมอนจึงใช้วิธีกระโดดข้ามน้ำตก แม้จะยากก็พยายามผ่านไปจนได้ และทั้งฝูงได้ค้นพบว่า สิ่งที่เราคิดว่ายากและสำคัญมาก แท้ที่จริงกลับเป็นสิ่งที่ธรรมดาสุดเรียบง่าย
เมื่ออ่านจบ ฉันคิดว่า สีเงินได้คำตอบให้กับตัวเองแล้วว่า  เหล่าแซลมอนต่างสู้เอาชีวิตรอดจากอันตรายต่าง ๆ กลับไปยังถิ่นกำเนิดเพียงเพื่อวางไข่เท่านั้นเองหรือ  ชีวิตน่าจะต้องมีอะไรมากกว่านี้  ชีวิตของแซลมอนย่อมต้องมีความหมายมากกว่านี้ เพียงแต่เรายังหามันไม่เจอเท่านั้น ถ้ายังหาไม่พบ ขีวิตเราคงไม่เหลืออะไร จากความเป็นปลาที่มีสายตาที่มีจิตวิญญาณ เป็นปลาที่ไม่อยากอยู่ในกรอบ (ไม่ชอบอยู่ตรงกลางฝูงแซลมอน) อยากหนีไปมีอิสระ แต่สีเงินในหัวใจคอยบอกให้ใจเย็น ให้คิดบวก ทำให้ไม่วู่วาม มีตาประกายผู้เป็นที่รัก เจ้าสีเงินในหัวใจที่เป็นสามัญสำนึก แม่น้ำที่เป็นผู้โอบอุ้ม เป็นที่ปรึกษา พ่อที่เป็นผู้ให้จิตวิญญาณของความเป็นผู้นำ ความเข้มแข็ง ทำให้สีเงิน จนทำให้เมื่อถึงจุด climax  ที่ต้องตัดสินใจ (กรามโต ที่เป็นผู้นำ วางอำนาจมาตลอด ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะปัญหาที่พบใหญ่เกินไป) สีเงินตัดสินใจด้วยจิตวิญญาณ ว่า การเลือกทางที่ยากลำบากจะทำให้เราเป็นแซลมอนที่สวยงามมีคุณค่าอย่างแท้จริง
สรุปแล้ว จุดมุ่งหมายในชีวิต แต่ละชีวิตก็ต้องมีแตกต่างกันไปตามหน้าที่ ตามบทบาทที่ตัวเองมีอยู่ เช่น จุดมุ่งหมายในชีวิตของตาประกายคือ การไปวางไข่ , จุดมุ่งหมายของสีเงินที่มาตระหนักได้ในที่สุด คือการมีตัวตนและทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ , แซลมอนบางตัวมีจุดมุ่งหมายในชีวิตว่าจะจับสายรุ้งให้ได้ สีเงินก็เหมือนกัน เห็นสายรุ้งเป็นสิ่งสวยงาม ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พบเห็น , จุดมุ่งหมายของหินกาบคือ ให้มนุษย์ได้เดินข้ามทางน้ำได้อย่างสะดวกสบาย
ที่ต้องชื่นชมอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้แปล ชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล สามารถแปลออกมาให้คนไทยอ่านแล้วยังสามารถคงความหมายอันลึกซิ้งของภาษาเดิมไว้ได้ ภาษาเกาหลีจะมีความลึก ความละเอียดของภาษามากมายอย่างไรก็ไม่รู้  แต่คุณชุตินันท์สามารถสื่อเป็นภาษาไทยได้ จนตอนท้าย ๆ ของเรื่องที่เราอินไปกับเจ้าสีเงินและตาประกายมากแล้ว พอมีรูปวาดเจ้าสีเงินยังเผลอลูบตัวเจ้าสีเงินและตาประกายเพราะอยากให้กำลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนตาประกายกำลังเตรียมที่วางไข่ โดยใช้ครีบหางขุดที่พื้นน้ำจนถูกคมหินกรีดหางขาดลุ่ย….จนใช้ครีบท้องทำต่อ…และสุดท้ายใช้ปากขุดแทน…ผิวปากของตาประกายถลอกปอกเปิกราวกับริ้วผ้าขาดวิ่น” (หน้า 144-145) สะเทือนใจคนอ่าน
จบเรื่องปรัชญาชีวิตของเจ้าสีเงินและตาประกายแล้ว ขอนอกเรื่องไปเป็นวิชาภาษาอังกฤษนิดหน่อยนะ  “Salmon อ่านว่า แซ้เหมิ่น ไม่ต้องออกเสียงตัว ‘l’ นะ ไม่อ่านว่า แซลมอน จำได้ว่าครุูตุ้มเคยสอนชั่วโมงแรก ๆ เลย ตัว ‘l’ เป็น silent letter แต่จำเหตุผลไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเจอครูตุ้มจะต้องถามทบทวนความจำซะหน่อย แต่เวลาเราพูดกันเอง หรือตอนไปซื้อมาทำอาหาร  เราก็พูดกันเหมือนปกติว่า ปลาแซลมอน ก็น่าจะโอเค แต่ถ้าพูดอยู่ในประโยคภาษาอังกฤษ อย่าลืมนะว่า ออกเสียงเป็น แซ้เหมิ่น
ผลพวงจากการอ่านหนังสือเล่มนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ ตั้งใจจะเปิด Youtube หาวงจรการดำเนินชีวิตของปลาแซลมอน ตั้งแต่เกิดจนตาย ในขณะดูฉันคงนึกถึง “สีเงิน” และ “ตาประกาย” ตลอดจน “กรามโต” และ “นักวิทยาศาสตร์” ที่เอาแต่ศึกษาทดลองเรื่องโน้นนี้จนตัวผอม และทุ่มเทหาทางช่วยฝูงจนตนเองหมดแรงตายก่อนจะถึงจุดมุ่งหมาย
เมื่่ออ่านจบต้องกลับไปอ่านคำนำของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อีกครั้ง เพราะดร.ธรณ์ บอกว่า เมื่ออ่านต้นฉบับจบ ได้ “บางอย่างอยู่ในใจ” และคิดว่าต้องให้คนที่รักอ่าน อาจารย์จึงได้ส่งให้ ด.ช.ธรา (ลูกชาย) อ่าน ซึ่งลูกก็ก้มหน้าก้มตาอ่าน อาจารย์ได้แต่คิดว่า ลูกจะกลายเป็นอะไร อยู่เงียบ ๆ โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกส่วนตัวของลูก ดิฉันจึงทบทวนความรู้สึกของตัวเองว่า เราได้อะไรในใจของเรา (ไม่ใช่เฉพาะสีเงิน ตาประกาย กรามโต นักวิทยาศาสตร์ แต่คือแซลมอนทั้งฝูง สอน…) เพื่อน ๆ ลองอ่านดู แล้วแลกเปลี่ยน “บางอย่างในใจ” หรือจะเก็บไว้ในโลกส่วนตัวเช่นเดียวกับ อาจารย์ธรณ์ และ ด.ช.ธรา ก็ไม่เป็นไร

2 thoughts on “ชวนอ่านหนังสือ : Salmon สอนคน

  • ช่วงนี้รับทาน “แซ้เหมิ่น” ทุกวันเลยพี่

  • ตรวจสอบตัวเองแล้ว ขอเข้าข้างตนเองว่า ปลาแซลมอนคล้ายพี่แมวนะ ฝากพัช แจ้ง/เผยแพร่ผู้ร่วมงาน ตรวจสอบตนเองด้วยนะ ใครๆที่มาหาพัชนั่นแหละ

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร