ไปพูดเรื่อง KM
ตื่นเต๊ลลชะมัด
เรื่องมีอยู่ว๊า… บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร เชิญอิฉันให้ไปเล่าสู่กันฟังเรื่อง KM ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ วันตรุษจีนพอดี๊พอดี ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทสาขาสารสนเทศศาสตร์เพื่อการศึกษา สาขาสารสนเทศศาสตร์เพื่อการศึกษา เป็นหลักศาสตร์ที่บูรณาการระหว่าง 3 คณะวิชาคือคณะวิทยาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ และคณะอักษรศาสตร์
เนื้อหาของหลักสูตรประกอบด้วยเนื้อหาวิชาสนเทศศาสตร์เพื่อการศึกษา ประกอบด้วย ความรู้ทางด้านสารสนเทศศาสตร์ เทคโนโลยีการศึกษา และคอมพิวเตอร์ และวิชาการจัดการความรู้เป็นวิชาหนึ่งที่อยู่ในหลักสูตร
มีชื่อเก๋ๆ ในภาษาอังกฤษว่า Informatics ไปควานหาแล้วสรุปว่าเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสารสนเทศ (information) และการคำนวณเพื่อคาดการณ์ในอนาคต เป็นคำที่ฟากทางยุโรปนำมาใช้แทนคำ computer sciences ที่แปลว่า วิทยาการคอมพิวเตอร์
ตอนเปิดใหม่ๆ น้องอ้อในฐานะศิษย์เก่ามาเล่าให้ฟัง เลยเข้าไปดูแล้วพบว่าหลักสูตรแล้วน่าสนใจเชียร์น้องๆ ให้ไปเรียนกัน เพราะจะทำให้เรามองอะไรในมุมกว้าง รวมทั้งมีเพื่อนที่มาหลายๆสาขา ซึ่งการทำงานหรือความเข้าใจแบบข้ามสายงานมีความจำเป็นมากในยุคปัจจุบัน
ส่วนเรื่องที่ไปพูดนั้นอาจารย์ท่านบอกว่าอยากให้เล่าประสบการณ์ที่ลงมือทำมาอย่างยาวนาน (คำหลังนี้เติมเอาเอง) ……………..
ก่อนที่จะทำสไลด์ได้อ่านงานวิจัยพวกนี้และคิดว่าน่าจะหมดห้องสมุด อ่านทีไรนึกถึงที่คุณหมอวิจารณ์ พานิช ท่านบอกว่า KM เป็นเรื่องที่ลงมือทำ อ่านไปอ่านมาเริ่มสงสัยว่าคนที่ทำงานวิจัยเรื่องพวกนี้ทำหรือมีส่วนร่วมกับ KM มากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อยากรู้จริงๆ เพราะอยากคุยด้วยว่าในสถานการณ์จริงเป็นอยางไร มันดี หรือมีปัญหาตรงไหน?
อ่านไปอ่านมาพบว่าบทที่ 2 จะหนาปึ๊กที่บรรจุทฤษฎีไว้มากมาย ตอนบรรยายอิฉันได้เอ่ยชื่อเจ้าของทฤษฎีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นักศึกษาขำๆ แล้วยังช่วยกันต่อเป็นที่สนุกสนาน มีคนบอกว่าไม่กลัวห้องสมุดถล่มกันบ้างหรือไร เขียนบทที่ 2 เยอะๆ เนี่ย
ไม่รู้ว่าหากเขียนแบบสังเคราะห์ร้อยเรียงเพื่อดึงส่วนที่นำมาใช้จริง มาสนับสนุนงานวิจัยจะทำได้มั็ย หรือจำเป็นต้องใช้แบบเดิมที่นำมาต่อๆ กันในปริมาณที่มหาศาล เราคงได้แค่คิดและบอกความรู้สึกไป ที่เหลือนอกจากนี้คงไม่ใช่หน้าที่ของเรากระมัง? นึกถึงอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เราได้มีโอกาสสนทนาด้วยท่านแนะนำมา ขอบคุณโลกที่ให้เราพบกันท่านผู้รู้ตลอดเวลาของการใช้ชีวิต
เด็กในโครงการ Work and Travel เล่าให้ฟังว่าเพื่อนไปแล้วไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหนูสงสัยมา (มัน) มีชีวิตรอดมาได้อย่างไรถึงยี่สิบปี? อ่ะนะฟังแล้วขำแต่สะท้านใจพิลึก!
ทำสไลด์ไปก็คิดไปเรื่อยๆ
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับที่เราต้องไปขุดค้นหาภูมิปัญญาที่นับวันจะหายไปๆ
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับที่เราต้องนับหนึ่งทุกครั้งเวลาเราจะทำอะไร
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับที่เรามีความคิดว่าคนที่อยู่ช่างไม่ได้เรื่องเลย
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับที่เรามองไม่เห็นความสวยงามของดอกหญ้าข้างทาง
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับที่เราหาอะไรไม่พบในกูเกิ้ล
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับทีเราคิดว่าเราทำแล้วหรือเราด๊แล้ว
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับทีเราไม่เคยสมมุติว่าเป็นเขา
เรื่อง KM หากไม่ลงมือทำกัน ก็คงไม่ต่างกับทีเราไม่รูัจักคำว่า RESPECT
ฯลฯ
บอกนักศึกษาไปว่าทฤษฎีของ KM มีมากมาย เป็นนักศึกษาก็ต้องรู้จักตั้งโจทย์เพื่อพิสูจน์หรือหาเครื่องมือมาจัดการ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ตะล่อม ขณะที่คนทำงานมีวัฒนธรรมองค์กร มีพี่ มีน้อง มีวิธีการ มีกฎ มีกติกา มีมารยาท เอาไว้ให้อยู่ร่วมกัน
มีทฤษฎีของ KM ที่อาจารย์หมอวิจารณ์ พานิช เขียนไว้น่าสนใจคือ http://www.gotoknow.org/posts/28817
“ทฤษฎีขนมเปียกปูน” ช่วยเตือนเราว่า ต้องอย่าทำ KM แบบ “ขนมชั้น” คือต้องให้ KM เนียนอยู่ในเนื้องาน อย่าให้แยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่งจากเนื้องาน
• คำอื่นๆ ที่มีความหมายเดียวกัน คือ บูรณาการ (integration), องค์รวม (holistic)
• KM ที่ดีที่สุด ผู้ทำ KM จะไม่รู้สึกตัวว่าตนเองกำลังทำ KM ไม่รู้สึกว่ากำลังมีภาระเพิ่ม แต่รู้สึกสนุกสนานและมีความสุขกับกระบวนการที่ร่วมกันทำ และมีความสุข ความปิติ จากผลของกระบวนการและกิจกรรมนั้น
• ดังนั้นสุดยอดของ KM คือ “ไม่ทำ KM” เพราะ KM ได้เข้าไปเนียนอยู่ในเนื้องานแล้ว เป็น km inside
• กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องทำ KM แบบ “ไม่ทำ KM”
• ที่สำคัญ ส่วนผสมของขนมเปียกปูนต้องมีเครื่องมือพัฒนางาน พัฒนาองค์กร พัฒนาคน อีกหลายขนาน เป็นส่วนผสม ไม่ใช่มี KM เพียงอย่างเดียว
• ส่วนผสมของ “ขนมเปียกปูน” จะมีอะไรบ้างนั้น ไม่มีสูตรตายตัว แต่ละองค์กรต้องทดลองผสมเอาเองจากการปฏิบัติ ไม่มีสูตรสำเร็จ
…………………..
เอวังพูดไป 3 ชั่วโมงเต็มแบบไม่ติดขัดแถมเวลาเกือบไม่พอ ตอนจบนักศึกษาเดินมาถามว่าผมอยากทำวิทยานิพนธ์เรื่องโน้นเรื่องนี้ ทำได้มั้ยแล้วจะมีเครื่องมืออะไรบ้าง
แหม่ …. นึกว่าจะไม่รอด!