ฅ…..คน
ฅ “ฅน” กับ ฃ ขวด ตกอยู่ในอาการเดียวคือ อยู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หายไปไหน
อ่านๆ ได้ความว่าเป้นเพราะประชาชนคนไทยไม่ชอบใช้ เอ… มีผลถึงเพียงนี้เลยหรือ อักษรตัวอื่นเขียนยากกว่านี้ตั้งเยอะ อย่าง ฎ กับ ฏ หรือ ส ษ ศ เป็นต้น ก็ยังใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน
จึงอดไม่ได้ที่ไปค้นๆ ได้ความแบบประวัติศาสตร์มีคำตอบว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นขึ้นบกที่ประเทศไทยเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปพม่า-อินเดีย ประเทศไทยสมัยนั้นเป็นรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น เล่ากันว่าญี่ปุ่นเห็นการเขียนภาษาไทยเป็นเรื่องยุ่งยาก มีพยัญชนะเสียงซ้ำกันหลายตัว คงได้ปรารภกับผู้นำรัฐบาลไทย ทำให้จอมพล ป. พิบูลสงครามออกประกาศ พ.ศ.2485 เลิกใช้พยัญชนะที่มีเสียงซ้ำกัน ได้แก่ ฃ ฅ ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ ษ ฬ ทร(อักษรควบไม่แท้) ส่วนตัว ญ ให้ตัดเชิงออก อักขรวิธีการเขียนสมัยนั้นจึงไม่มีพยัญชนะดังกล่าวใช้ ต่อมาญี่ปุ่นแพ้สงคราม จอมพล ป.พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2487 จึงเลิกบังคับใช้ประกาศดังกล่าว ตัวพยัญชนะที่ถูกเลิกใช้ ผู้คนก็นำกลับมาใช้ตามอักขรวิธีเดิม แต่ ฃ และ ฅ ผู้ใช้ภาษากลับไม่สู้นิยมใช้ จึงถูกละเลยไปโดยไม่มีใครประกาศยกเลิก แต่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า “ฃ พยัญชนะตัวที่ 3 เป็นพวกอักษรสูง ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว และ ฅ พยัญชนะตัวที่ 5 นับเป็นพวกอักษรต่ำ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว” ดังนั้นจึงไม่มีคำที่เขียนด้วย ฃ และ ฅ ในพจนานุกรม ฉบับปัจจุบัน คัดลอกมาจากที่นี่จ้า http://thaiqa.swu.ac.th/room/index.php?topic=106.0 พอมายุคสมัยนี้ ฅ มีการนำมาใช้ในรายการทีวียอดฮิตคือ รายการ ฅนค้นฅน เราจึงหันมามองแป้นพิมพ์บ้างว่ามีพยัญชนะตัวนี้หรือไม่
ส่วนในชีวิตจริงเราก็มีโอกาสในการค้นฅน กับเขาบ้างเหมือนกัน
การค้น “ฅน” ในด่านแรกเริ่มจากการค้นหาศักยภาพทางวิชาการจากการทำข้อสอบ ที่พยายามออกให้ครอบคลุม แบบพื้นๆ ยืนยันว่าไมใช่ที่สูงสามสี่ชั้น เพื่อประเมินผู้มาสอบว่าหากตั้งใจเรียน ไม่ทะลุหูซ้ายออกหูขวา คงจะตอบได้บ้างมากกว่าครึ่ง
พอส่งข้อสอบไปทีไร มักมีเสียงหัวเราะพร้อมกับมธุรสวาจาว่าอันตัวข้าพเจ้า (คนอ่าน) นั้น ก็ยังทำไม่ได้ บอกไปว่า เราจบมานานแล้วนี่หว่า วิชาการอาจจะหดหายไปกับริ้วรอยบนใบหน้า หรือระหว่างทาง ส่วนน้ำหนักนั้นเพิ่มเอ๊าเพิ่มเอา
ความจริงขอสารภาพว่าที่ทำไปทั้งหมด เป็นการตอบสนองตัวเอง แก้แค้นเรื่องราวในอดีตที่เราทำข้อสอบไม่ได้แค่นั้นเอง!
แต่แล้วกรรมมีจริง ผลคือเวลาตรวจข้อสอบจึงมักต้องอารมณ์ดีๆ ใจร่มๆ สอบแค่ห้าคน ตรวจตั้งสองสามวัน แบบทีละคำๆ ปราณีตบรรจงยิ่งนัก
ด่านที่สองของการค้น “ฅน” ไม่ได้ยากแบบเชฟกระทะเหล็ก บรรดาสหายทั้งหลายต่างสวมวิญญาณเป็นคอมเม้นท์เตเตอร์ และมีบุคลิกภาพและการซักถามต่างกัน ช่วงสองสามปีสอบค้น “ฅน” ค่อนข้างบ่อย ไม่ทราบว่าเป็นอิทธิพลของปีชงหรือไม่ ที่คนที่ไปมักไปแบบปุ๊บปั๊บ เล่นเอางงว่า … เว๊ยเฮ๊ยหายไปไหน รวดเร็วประหนึ่งกามนิตหนุ่ม
ด่านนี้เป็นเรื่องของความถูกใจ เหล่าคอมเม้นท์เตเตอร์จะมีคำถามเป็นแนวๆ ตามความถนัด พอหลายครั้งเข้าก้จะดักคอกันได้ว่าใครจะถามว่าอะไร แต่ถามไปเถอะ คนมาสอบมีกตอบแบบหนักแน่นเซย์เยส หรือไม่ก็บอกว่าตัวเองเป็นคนมีมานะ ฝึกฝนได้ มีความพยายามที่จะเรียนรู้ บลาๆๆๆๆๆ บอกว่า ทำได้ ยินดี น่ารัก เคารพ พยายาม เข้าใจ อุทิศตัว
คนที่ได้นั้นจะตอบอะไรๆ ที่ดูดีไปโหม้ด …. บางรายเหล่าสหายฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์อยากจะฝากผีฝากไข้ กะว่าถ้ามาเข้ามาแล้วจะส่งเสริมให้เป็นรัฐมนตรีเงากันเลยนะ จะบอกให้ คิดดู๊… “อิน” กันขนาดไหน ดังนั้นน้องๆ ที่มาที่นี่จงภูมิใจ
Once upon a time เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เราก็พบว่า “ฅน” ที่ค้นมา บางทีก็เปลี่ยนไป๋ หากอยากรู้หรืออยากเช็คเรทติ้ง ต้องหมั่นสดับรับฟังเสียงจาก เหล่า “คอมเม้นท์เตเตอร์” ที่มากกว่าวันสอบเอาแล้วกันว่าเป็นอย่างไร แล้วนำมาทบทวนปรับเปลี่ยนหรือตอกย้ำ เคยแซวๆ เล่นให้เปรียบเทียบระหว่างวันแรกที่มาทำงาน กับ ณ วันปัจจุบัน ว่าพฤติกรรมของเรามีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่าง เรื่องนี้น่าคิดทีเดียว
เนื่องจากหน่วยงานนั้นมีความรู้สึกว่าต้องรักษา “ฅน” ที่ค้นมาให้อยูในลู่ในทางที่องค์กรต้องการ เพราะกว่าจะได้อัตราใหม่มาสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีวิทยายุทธ์ระดับฮุ๊นปวยเอี๊ยง หรือบางครั้งก้ต้องไปหาบัวหิมะกินสักสองสามดอก (ใครอ่านแล้วเข้าใจแสดงว่าเรารุ่นเดียวกัน ใครอ่านไม่เข้าใจแสดงว่าตกรุ่น อิอิ)
เราจึงจำเป็นต้องดูแล รวมทั้งต้อง “ค้น” ศักยภาพที่ซ่อนเร้นแฝงตัวออกมาให้ได้ เพราะอีกไม่นานองค์กรอยู่ได้ด้วยมือของพวกท่าน ที่เราปรารถนาให้เป็นจอมยุทธ์ ระหว่างการฝึกฝนก็ให้ยก KPI มาอ่าน พิจารณา ตีความให้เข้าใจ เพราะทั้งสามส่วนคือแนวทางไว้ให้เหล่าจอมยุทธ์เดิน …ดูดู๊วกมาเรื่องนี้จนได้